Cute Orange Flying Butterfly

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 23 กันยายน 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 23 กันยายน 2557



นำเสนองานสื่อของเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย อาจารย์ได้อธิบายสื่อต่างๆ






  



วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 16 กันยายน 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 16 กันยายน 2557


เรียนทำสื่อในห้องเรียน 2 ชิ้น 









           

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 9 กันยายน 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 9 กันยายน 2557


เรียนเกี่ยวกับการจัดประเภทของเล่นตามทฎษฏีเชิงรู้คิด

  • ทฎษฏีการพัฒนาการการเล่นของเด็กปฐมวัย
  • ความสำคัญของการเล่น
  • พฤติกรรมการเล่นของเล่น
  • จุดหมายของการเล่นเกม
  • ลักษณะที่ดีของการศึกษา



วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 2 กันยายน 2557

บันทึกการเรียนประจำวันอังคารที่ 2 กันยายน 2557

ชมนิทรรศการที่สนามกีฬาในร่ม งานศึกษาศาสตร์วิชาการ
   











วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

ชุดสื่อการสอนที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้















3.บทความการประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ

การประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ

อ.ธนวดี ศุกระกาญจน

ของเล่นมักมีความสำคัญอย่างยิ่งกับเด็ก เพราะเป็นเสมือนเครื่องมือที่นำเด็กไปสู่การพัฒนาตนเองกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการรับรู้โลกภายนอกผ่านการเสนอความรู้สึกนึกคิดแสดงออกผ่านสื่อต่าง ๆ ของเล่นเป็นสื่อที่เปิดโอกาสให้เด็กสำรวจ ทดลอง ค้นคว้า กับวัสดุทุกชนิดอย่างอิสระ ผ่อนคลาย ไม่คำนึงถึงความถูกผิด อีกทั้งมีความสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของเด็ก ที่เป็นผู้ไม่อยู่นิ่ง ชอบซักถามสืบค้น ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว เด็กจึงเป็นผู้เรียนที่มีความกระตือรือร้น เมื่อเด็กประสบความสำเร็จในงานที่ลงมือกระทำด้วยตนเอง จึงช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง ส่งผลให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ซึ่งกระบวนการประดิษฐ์ของเล่นอย่างง่าย ๆ จากวัสดุรอบตัวเด็กหรือวัสดุจากธรรมชาติจะส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ ทำให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก เป็นพื้นฐานให้เด็กรักการทำงานเพราะการลงมือปฏิบัติให้เด็กเกิดความเคยชิน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องทำให้เด็กรักการทำงาน เกิดความภาคเพียร ผลของความสำเร็จในการทำงานทำให้เกิดความภูมิใจที่ได้รับความสำเร็จอยู่เสมอ ทำให้เกิดความมั่นใจในการทำงาน มีความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยเฉพาะเราสามารถนำวัสดุจากท้องถิ่น มาประดิษฐ์เป็นของเล่นอย่างง่ายๆ ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น 

- ลูกยาง มีลักษณะลูกกลมๆ มีน้ำหนักและกลีบเลี้ยง 2 ใบ เมื่อโยนลูกยางขึ้นที่สูง ๆ จะหมุนตกลง มาตามทิศทางลม 


- ลูกยางโดดร่ม

สื่ออุปกรณ์
    - ลูกยาง
    - ถุงพลาสติกใสขนาด 12” x 12”
    - สีช๊อก สีโปสเตอร์
    - ด้ายเส้นเล็ก
    - พู่กัน
วิธีทำ
    1. นำลูกยาง ใช้พู่กันระบายสีตกแต่งสีสันให้สวยงาม ผึ่งให้แห้ง
    2. นำถุงพลาสติกใสขนาด 12” x 12” หรือ 10” x 10” ใช้สีช๊อกออกแบบตกแต่งสวยงาม
    3. นำด้าย 4 เส้น ผูกพลาสติกทั้ง 4 มุม ปลายเส้นด้ายอีกข้างผูกที่ลูกยาง

วิธีเล่น พับถุงพลาสติกพันเส้นด้าย โยนขึ้นข้างบน เมื่อตกลงมาร่มหรือถุงพลาสติกจะกางออก และตกลงสู่พื้น 
- ตุ๊กตาลอยลม
สื่ออุปกรณ์
    - ลูกยาง
    - ตะเกียบ หรือ ไม้ 
    - ผ้าเช็ดหน้า หรือ เศษผ้า
    - กระดาษสี
    - กาว กรรไกร
วิธีทำ
    1. เจาะรูลูกยางทากาว ใช้ไม้หรือตะเกียบเสียบตรงรูทิ้งให้กาวแห้ง
    2. ตกแต่งหน้าตาตุ๊กตาบนลูกยางด้วยกระดาษสี
    3.นำผ้าหรือผ้าเช็ดหน้าผูกเป็นกระโปรงติดบริเวณระหว่างตะเกียบกับลูกยางตกแต่งกระโปรงให้สวยงาม

วิธีเล่น สามารถนำไปเล่นเป็นตุ๊กตา หรือเป็นหุ่นประกอบเล่าเรื่องประกอบภาพได้ 

2.บทความเล่นแบบไทยสุขใจกับธรรมชาติ

เล่นแบบไทยสุขใจกับธรรมชาติ


โดย: มุทิตา ทาคำแสน


.................“ขุดคลองในดิน นำน้ำมาใส่ให้ไหลมาในคลอง แล้ววิ่งไปเก็บกิ่งไม้ที่พุ่มไม้ วิ่งกลับมา ‘ปลูก’ ไว้ริมคลองนี่คือการสัมผัสครั้งแรกกับงานชลประทาน และการปลูกป่า”.......... 

การเล่นสร้างเขื่อนจากดินและน้ำเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเยาว์ กลายเป็นพระราชภารกิจยิ่งใหญ่ในการนำพาชาวไทยให้ดำรงชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ตามแนวพระราชดำริ ในเรื่อง เศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ล้วนเป็นตัวอย่างให้ พสกนิกรนำเอาภูมิปัญญาสากลมาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาไทยอย่างผู้รู้จักตนเอง สามารถเลือกทางเดินชีวิตอย่างมีเป้าหมายและพึ่งพาตนเองได้ (บุษบง ตันติวงศ์. 2550. หน้า 9-11)

เมื่อได้เห็น พระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ในหนังสือเจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ยิ่งย้ำเตือนให้เราทุกคนได้รู้ถึง คุณค่าของธรรมชาติกับการเล่นของเด็ก ดังที่ท่านอาจารย์บุษบง ตันติวงศ์ ได้กล่าวไว้ว่า “การเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นเรื่องจำเป็นมากในการพัฒนาปัญญาให้รู้จักใช้เหตุผลอย่างแยบคาย และต่อเนื่องกันทั้งด้านวัตถุและจิตใจ”





การเล่น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็ก ไม่ว่าเด็กในช่วงวัยใดต่างก็ต้องการการเล่น การเล่นสำหรับเด็กนั้นมีความหมายสำคัญเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะคาดถึง เพราะมันคือหัวใจ ที่ช่วยให้สมองของเด็กเติบโต แต่ต้องเป็นการเล่นที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ความเพลิดเพลิน ที่เด็กได้รับจากการเล่น เป็นการเปิดประตูการเรียนรู้ต่างๆ ทุกครั้งที่ ได้ยิน ได้เห็น จับต้อง ลิ้มรส หรือได้กลิ่น จะมีการส่งสัญญาณไปยังสมอง ยิ่งการเล่นมีความหลากหลายมากเท่าใด การเชื่อมโยงของเซลล์สมองก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีการเชื่อมโยงมาก สติปัญญาของเด็กในด้านต่างๆ ก็จะพัฒนาตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความคิดรวบยอด การแก้ปัญหา รู้จักลองผิดลองถูก 

“อย่ามองการเล่นของเด็กว่า เล่นอะไร เพราะคำตอบคือเล่นของเล่น แต่ถ้าคิดต่อว่า เล่นอย่างไร ก็จะเห็นสิ่งที่นำมาเล่น ซึ่งอาจไม่ใช่ของเล่นทั่วไป ...ของใช้ ...ท่อนไม้...ใบไม้...ก้อนหิน...กะลา สารพัดสิ่งของที่นำมาเล่นต้องผ่าน กระบวนการคิด ว่าจะเล่นอย่างไร ถ้าเล่นหลายคนก็ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหา” (ชีวิน วิสาสะ. 2546. หน้า 58)

ผู้เขียนเองยังแอบรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ เมื่อย้อนไปถึงอดีตในวัยเด็ก เป็นช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติกับชีวิตชนบทในส่วนหนึ่งของภาคเหนือ นึกถึงความสุข กับการเล่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความชื่นบาน ดูเสมือนเป็นความทรงจำอันมั่นคงที่ไม่เลือนหาย ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยการผจญภัยสิ่งแวดล้อมทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นโลกของการเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้นของเล่นเป็นลักษณะการ หยิบยืมมาจากธรรมชาติ เนื่องจากหน้าบ้านเป็นทุ่งนาจึงมี “ดินเหนียว” เป็นของเล่นที่ใกล้มือที่สุด ได้ปั้นรูปสัตว์ต่างๆ ตามแบบที่ตายายปั้นให้ดูบ้าง หรือคิดออกแบบ ปั้นเองแล้วตั้งชื่อผูกเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ตัวหรอกว่านั่นคือการได้ฝึกกล้ามเนื้อมือและทักษะทางภาษา นอกจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับดิน ยังเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ใน ทุ่งนาเช่น ไส้เดือน กบ เขียด คางคก หอย ปู ปลา และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย 





หลังบ้านที่เป็นสวนมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน ทำให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ ในสวนหลังบ้าน มีต้นหมากซึ่งจะผลัดกิ่งก้านอยู่เสมอ เมื่อแก่ก็จะหลุดลงมา ทั้งกาบ ซึ่งจะมีลักษณะโค้งโอบขึ้นมา เด็กลงไปนั่งได้ ใช้เป็นรถลากอย่างวิเศษ คนนั่งจะจับขอบ ทั้งสองของกาบหมากให้แน่น ส่วนคนลากจะจับตรงปลายที่มีใบ แล้ววิ่งไป พอเหนื่อยก็จะผลัดมานั่งบ้าง ผู้เขียนกับน้องสาวเรียกของเล่นชิ้นนี้ว่า รถวิเศษหากเหนื่อยจากการเล่น “รถวิเศษ” เราก็เปลี่ยนบรรยากาศ หันไปมีส่วนร่วมกับพ่อแม่ที่กำลังดูแลต้นมะม่วงกับต้นกล้วย เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คงช่วยได้แต่รินน้ำเย็นๆ ส่งให้พ่อกับแม่ดื่มคลายร้อนเพียงเท่านี้ท่านทั้งสองก็ชื่นใจ นอกจากความภูมิใจที่ได้ทำความดีแล้ว เราก็มักจะได้ กังหันใบมะม่วงจากแม่ และ ปืนก้านกล้วยจากพ่อ เป็นรางวัลพิเศษทุกครั้งไป หลังจากนั้นเราก็จะไม่รบกวนการทำงานของท่านเพราะเด็ก ก็จะไปทำงานของเด็กเช่นกัน เพราะ การเล่น แท้จริงคือ การทำงานของเด็ก(นภเนตร ธรรมบวร. 2549. หน้า 131)






ในฤดูหนาว เด็กผู้หญิงมีวิธีคลายหนาว โดยการเล่นมอญซ่อนผ้า นั่งเป็นวงกลม รับแดดอุ่นๆ ในยามเช้า อุปกรณ์ในการเล่น คือ ผ้าเช็ดหรือเก็บเอาใบไม้ขนาดใหญ่ๆ มา 1 ใบ พร้อมบทเพลงประกอบการเล่นเพื่อความรื่นเริง นอกจากการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้ไหวพริบและรู้จักสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเด็กยังได้ในเรื่องของความซื่อสัตย์และการรักษากฎกติกา ในการเล่นอีกด้วย ส่วนเด็กผู้ชายมักจะแยกพื้นที่เล่นไปอยู่อีกมุมหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการสมาธิ การตัดสินใจ และอาศัยความกล้า ท้าทายความสามารถอยู่กับการทรงตัวให้ได้บนไม้ต่อขาสูงซึ่งทำจากไม้ไผ่ที่มีความยาวเท่ากัน 1 คู่ สูงกว่าตัวเด็ก (ความสูงประมาณ 200 - 300 ซม.) และต่อท่อนไม้เล็กๆ ยื่นออกมาสำหรับไว้เหยียบทั้งด้านซ้ายขวา บ้างก็มีแบบสูงจากพื้นเกือบถึงเข่าพอที่ก้าวขึ้นไปเหยียบได้ พี่ที่โตๆ หน่อยมีสูงเกือบถึงเอว เวลาจะขึ้นไปเหยียบทีก็ต้องปีนไปบนโต๊ะ เสียงร้องตะโกนไชโยๆ ด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เวลาที่พวกเค้าสามารถทรงตัวบน “ไม้ต่อขาสูง” และก้าวเดินได้ แรกๆ ก็มีรอยถลอกกลับบ้านบ้างแต่ทุกคนก็สนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้ ได้เรียนวิทยาศาสตร์ไปแบบไม่รู้ตัว เรื่องของจุดศูนย์ถ่วง พวกเราค้นพบว่าถ้าหากเราสามารถกำหนดจุดศูนย์ถ่วงได้ดีตัวเรากับไม้ต่อขาสูงเราก็จะไม่เสียหลักและทำให้เราเดินได้ง่าย การเล่นอีกอย่างที่เป็นที่นิยมเล่นไม่รู้เบื่อ สามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งชายหญิง ทั้งพี่และน้อง บางทีลุงป้าน้าอาก็มาประลองความสามารถกันด้วยความสนุกสนาน คือการเล่นสะบ้า สะบ้าเป็นไม้เถา ลูกเป็นฝักยาวๆ ห้อยลงมา แต่ละฝักจะมีลูกประมาณ 3-8 เม็ด ลูกสะบ้าจะมีลักษณะกลมแบน ตรงกลางนูนเล็กน้อยใช้กลิ้งหมุนไปบนพื้นเรียบๆ ได้ดี บางครั้งเด็กๆ ก็เอาสะบ้า 5-10 ลูก วางตั้งกับพื้นดินเป็นแถวเรียงหน้ากระดาน แล้วกำหนดจุดยืนหรือจุดยิง ให้ห่างออกไปแล้วแต่ว่าจะ สร้างข้อตกลงร่วมกัน แบ่งลูกสะบ้า (ลูกยิง) ให้ผู้เล่นเท่าๆ กัน แล้วผลัดกันโยนให้สะบ้าที่ตั้งไว้ล้มลง นับแต้มว่าใครโยนให้ล้มได้มากกว่า คนนั้นเป็นฝ่ายชนะ ผู้เขียนจะสนุกเป็นพิเศษถ้าได้เล่นกับพ่อเพราะข้อตกลงที่สร้างขึ้นนั้นมักจะเอื้อสำหรับลูกเสมอ เช่น ได้ยืนในจุดที่ใกล้กว่า ได้ลูกยิงมากกว่า เป็นต้น การเล่นชนิดนี้สำคัญที่เป็นการฝึกความแม่นยำ ในการยิงเป้าหมาย กะระยะทาง และเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือให้ประสานสัมพันธ์กับสายตา ลูกสะบ้าเพียงหนึ่งฝักสามารถพลิกแพลงวิธีการเล่นต่างๆ ได้อย่างมากมายหลายรูปแบบโดยไม่มีผิดไม่มีถูก




เล่นแล้วเกิดคุณค่า ในแง่ของพัฒนาการ ได้รับการพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อ ร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และสติปัญญา ได้พัฒนาความคิด สิ่งสำคัญคือ เกิดความภาคภูมิใจ ในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นการเล่นที่ต่อยอดทางความคิดไปเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใดคือความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว 

การที่ผู้ใหญ่ได้เล่นกับเด็ก นอกจากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กแล้ว ยังเป็นการสร้างความรัก ความผูกพัน ระหว่างกันด้วย ดร.วรนาท รักสกุลไทย บอกว่า การให้เด็กได้ลงมือเล่นเองจะทำให้เด็กเกิดความคิดออกแบบ เมื่อทำสำเร็จเด็กจะเกิดความภาคภูมิใจ ของเล่นก็ควรเป็นของเล่นที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เป็นของเล่นปลายเปิดที่ไม่มีคำตอบถูกผิด ทำให้เด็กได้ลองผิดลองถูกซึ่งเด็กจะเกิดการเรียนรู้ และมีความสุขที่ผู้ใหญ่เคารพการตัดสินใจของเขา

นอกเหนือจากภาพแห่งความสุขจากการเล่นแล้ว เรายังจดจำภาพของคนเฒ่าคนแก่ นั่งทำของเล่นพื้นบ้าน ของเล่น ซึ่งเปรียบเสมือนมนต์วิเศษที่เรียกให้เด็กๆ มาขลุกอยู่กับคนแก่ เฝ้าดู เฝ้าคอย ของเล่น หน้าตาแปลกๆ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จะสำเร็จออกมาให้พวกเด็กได้เล่น คนแก่เองก็สุขใจ ที่ลูกหลานอยู่ใกล้ชิด คอยถามไถ่ ซักถาม พูดคุยนอกจากนั้น ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้ยังเป็นตัวเชื่อมให้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ได้ใกล้ชิดกับคนแก่และลูกหลานอีกด้วย คนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างหงอยเหงา โดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไป พวกเขามีความสุขใจที่รู้ว่าตนเองยังมีค่ามีความหมาย





ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติมีเสน่ห์อยู่ตรงที่ทำด้วยมือ ทำด้วยความรัก ด้วยจิตใจ จึงเป็นของที่มีคุณค่า และสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของท้องถิ่นนั้นๆ ของเล่นพวกนี้มีความอ่อนโยนสามารถเชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม ส่งเสริมให้เด็กมีสายใยร่วมกัน ในขณะที่เด็กเล่นเป็นกลุ่ม ผู้ใหญ่สามารถสอดแทรกเรื่องความเมตตา ความมีน้ำใจ คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งถ้าจะกล่าวไปแล้วมีมากมายนับไม่ถ้วน อาทิ เช่น


   
 ของเล่นที่ต้องอาศัยแรงดันอากาศและแรงยก เช่น กังหันใบลาน กังหันเสียง กังหันไม้ไผ่เครื่องบินร่อน บั้งโพ๊ละอัดลม จานบินจีน จานบินญี่ปุ่น จานบินไทย กังหันบิน ปืนอัดลมจุกก๊อก ว่าว เรือป๊อกแป๊ก ฯลฯ







     ของเล่นที่ต้องอาศัยความสมดุล มีคาน ล้อ เพลา เป็นส่วนประกอบ เช่น รถไม้ สามล้อ ตำข้าว เรือสาน งูไม้ไผ่ เรือเวียดนาม นกจูง สามล้อ คนเลื่อนไม้ ม้าโยก หมุนถ่วง บาร์มือ ฯลฯ











ของเล่นที่เด็กได้เรียนรู้เรื่องเสียง เช่น ปี่เสียงนก ขลุ่ยเล็ก นกหวีด จักจั่น ป๋องแป๋ง ลูกข่างเสียง โหวดเล็ก แคนเสียง ฯลฯ












ของเล่นที่ต้องอาศัยแรงในการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ เช่น ธงสะบัด ลูกข่างตะปู หุ่นชัก กังหันมือ/กำหมุน ปืนหนังยาง งูกินนิ้ว ควายกะลาวง ฯลฯ







ตัวอย่างของเล่นและการละเล่นดังกล่าวข้างต้นมีหลายท่านที่ลืมวิธีการเล่น หรือเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักเลยก็อาจเป็นได้ เพราะมาถึงยุดปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นใหม่เป็นอีกแบบหนึ่ง คือการเล่นใช้วัสดุธรรมชาติน้อยลงและส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาว่างหันหน้าเข้าจอโทรทัศน์เสียมากกว่า จะไปออกกำลังกลางแจ้ง หรือนั่งจับกลุ่มเล่นอย่างแต่ก่อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมพื้นเมืองค่อยๆ ถูกลืมไปและขาดตอนอย่างน่าเสียดายคือ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มาพร้อมๆ กับเด็ก รุ่นนี้ ลานดินลานบ้านที่เด็กรุ่นเก่าเคยเล่น กลายเป็นถนนหนทางและบ้านเรือนหมดแล้ว ความใกล้ชิดกับธรรมชาติของเด็กลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งมีโทรทัศน์ เกมกด เกมคอมพิวเตอร์เข้าไป การละเล่นต่างๆ ก็ถูกลืมหมดความสนใจเร็วขึ้น 

ถ้าจะนับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก เด็กจะดูโทรทัศน์หรือขอเงินไปซื้อของเล่นญี่ปุ่น ฮ่องกง ก็ไม่คำนึง ดีไปอย่างหนึ่ง แต่ถ้าอยากให้เด็กได้ออกกำลังกายกลางแจ้ง ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ หรือได้สนุกสนานแบบรวมกลุ่มเล่น ก็ควรพาไปเล่นเกมบ้าง และถ้าได้สอดสอนให้รู้จักกับการเล่นแบบพื้นเมืองด้วย สักอย่างสองอย่างก็คงจะดีไม่น้อย เด็กจะได้รู้ว่าประเทศไทยก็มีเกมพื้นเมืองสนุกๆ เล่นกับเขาหลายอย่างเหมือนกัน (เอนก นาวิกมูล. 2539. หน้า 123-124)

ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมจัดกิจกรรม และอบรมสัมมนาด้านสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย กับคุณครูของโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดต่างๆ ในโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับกลับมาทุกครั้งคือความประทับใจ และรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมากที่คุณครูทุกคนสามารถ หยิบยกเอาความโดดเด่นในท้องถิ่นของตนออกมานำเสนอในรูปแบบของสื่อการสอน สำหรับเด็กปฐมวัยได้อย่างสมภาคภูมิ ไม่ว่าจะเป็น การประดิษฐ์ภาพและแต่งคำคล้องจองสอนเด็กเกี่ยวกับผ้าหม้อฮ่อมและขนมจีนของจังหวัดแพร่ ผลงานการประดิษฐ์แก้วกระดาษ ของเล่นจากลูกย่าง ที่จังหวัดพังงา การสานปลาตะเพียน เครื่องเล่นดนตรีไทยแบบจิ๋ว และการจัดทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยหลายๆ แห่งให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในจังหวัดอ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ครั้งล่าสุดที่ศูนย์พิษณุโลก ทุกคนต้องทึ่งกับผลงานที่คุณครูหลายจังหวัดนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ประดิษฐ์จากข้าวเหนียว หมูน้อยน่ารักจากใยบวบ ฯลฯ

ครั้งแรกที่เจอกัน เมื่อพูดคุยถึงอุปสรรค์ในการจัดการเรียนการสอน มักจะได้ฟังคำบอกเล่าที่ออกมาในลักษณะความน้อยเนื้อต่ำใจ และเรื่องที่มักจะพูดถึงบ่อยที่สุด คือเรื่องของ สื่อการเรียนการสอน คุณครูหลายคนมักจะบอกว่าตนเองไม่มีความพร้อมเรื่องสื่อฯ อุปสรรค์ คือความเป็นชนบท และการห่างไกลความเจริญ แต่เมื่อลองมาคุยกันถึงแก่นแท้ของการ จัดการศึกษาแล้วทำให้เราพบความจริงที่ว่าการศึกษาปฐมวัยนั้นมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคล ภายใต้บริบททางวัฒธรรม อารยธรรม และวิถีชีวิตทางสังคม ซึ่งมีลักษณะต่างกัน 


พรบ. การศึกษา 2542 มาตรา 7 ระบุไว้ว่า “ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมายความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความภาคภูมิใจในความ เป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้ อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งพาตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง” 



“บรรยากาศในการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของรูปแบบฯ บรรยากาศที่อบอุ่นงดงามด้วยพลังธรรมชาติรอบตัว สะท้อนจุดยืนของรูปแบบฯ ในการปกป้องธรรมชาติของวัยเด็ก” (บุษบง ตันติวงศ์. 2550. หน้า 36


สุดท้ายคุณครูทุกคนจึงได้ข้อสรุปว่าสภาพแวดล้อมที่คุณครูบอกว่าเป็นชนบท อยู่ห่างไกลความเจริญนั้นไม่ใช่อุปสรรค์ของการจัดการเรียนรู้และมันกลับตรงกันข้ามเพราะแท้จริงมีคุณค่ามหาศาลแอบแฝงอยู่ และการใช้ของเล่นที่เป็นธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เป็นการเล่นที่มีคุณค่าในลักษณะที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่วิถีชีวิต เราจะไม่มองว่าของเล่นที่ดีต้องราคาแพงเท่านั้น เพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิด ของเล่นที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ และการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ ของไทยเรา มีคุณค่าควรสืบสานและอนุรักษ์ไว้ เพราะเราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้ แทบจะเรียกว่าได้หายไปจากโลกแห่งของเล่นไปแล้ว เพราะด้วยยุคสมัยและกาลเวลาที่ผันผ่านไป ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้กลับกลายเป็นของเล่นโบราณที่ถูกหลงลืมไปแล้วจากสังคมไทย และนับวันก็ยิ่งจะหาของเล่นพื้นบ้านที่สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นก่อนมาเล่นได้ยากเต็มที

ผู้เขียนจึงขอชื่นชมผู้ที่ส่งเสริม อนุรักษ์ของเล่นแบบไทย และผู้ที่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกท่านมีความสุข และอิ่มเอมใจกับการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ “การเล่นแบบไทยสุขใจกับธรรมชาติ” ในความระลึกอยู่เสมอว่า การพัฒนาเด็กเป็นปฐมบทของการพัฒนามนุษย์เป็นสำคัญและสัมพันธ์กับทุกก้าวย่างของชีวิต และมีผลต่อความเจริญมั่นคงของสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง






บรรณานุกรม

ชีวิน วิสาสะ. (พฤษภาคม 2546). รักวัวให้ผูก รักลูกให้เล่น : กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อ 
        ครอบครัว. กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์ แฮปปี้แฟมิลี่. 
นิรวรรณ. (พฤษภาคม 2533). เล่นอย่างไรให้สร้างสรรค์. ชุดจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก. 
        กรุงเทพมหานคร : บริษัท แปลน พับลิชชิ่ง จำกัด. 
นภเนตร ธรรมบวร. (2549). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่ง 
        จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 
บุษบง ตันติวงศ์. (2550). รูปแบบการศึกษาปฐมวัยตามวิถีไทยเพื่อชีวิตที่พอเพียง. 
        กรุงเทพมหานคร. 
เอนก นาวิกมูล. (มีนาคม. พ.ศ. 2539). ของเล่นแสนรัก. สำนักพิมพ์โนรา. พิมพ์ครั้งที่ 1 
        กรุงเทพมหานคร 
แนวทางการนำมาตรฐานการศึกษาปฐมวัยสู่การปฏิบัติ. (กรกฎาคม 2550). สำนักพิมพ์วิชาการ :
       และมาตรฐานการศึกษา กรุงเทพมหานคร. 
การเล่นต่างๆ. http://www.heyha.th.gs/web-h/1022chamnong/mon.htm (27 มกราคม 2552)
ของเล่นพื้นบ้านไทย จินตนาการไม่รู้จบ. www.sarakadee.com/feature (27 มกราคม 2552)

แหล่งอ้างอิง นำมาจากเว็บ http://www.la-orutis.dusit.ac.th/research1.php

1.บทความสื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนพัฒนา เด็กได้มากกว่าที่คิด

สื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนพัฒนาเด็กได้มากกว่าที่คิด


โดย: ดร. สิทธิพร เอี่ยมเสน
รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

"เพียงแค่ธรรมชาติที่อยู่รอบๆบ้านเรา
ก็มีสิ่งยั่วยวนใจให้เด็กได้เรียนรู้มากเหลือเกิน
ใบไม้ใบหญ้าที่แกว่งไกวหรือหลุดปลิวไปเพราะแรงลม
การสร้างบ้านที่อยู่อาศัยของมด กลุ่มชีวิตที่อยู่ใต้พื้นดิน
สำหรับเด็กๆ แล้ว สนามธรรมชาติรอบล้อมบ้าน
เป็นโลกแห่งกิจกรรม เป็นบทเรียนวิทยาศาสตร์
บทเรียนวิชาฟิสิกส์ และวิชาธรรมชาติและสีสัน
(Hirsh-Pasek and Golinkoff, 2003)"

ในตอนวัยเด็ก นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน และช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แล้ว พวกเราเด็กๆ ก็มักจะมีเวลาว่างมากเพียงพอที่จะสำรวจธรรมชาติที่อยู่รอบๆ บ้าน หรือบริเวณหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ทุ่งหญ้า ทุ่งนา ป่าหญ้าคา และ อื่นๆ เราสนุกสนานกับการที่ได้ปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ นั่งเล่นอยู่บนต้นไม้นั้นเป็นเวลานานๆ ได้เห็นความเป็นอยู่ของเหล่านกใหญ่น้อยทั้งหลาย ที่อาศัยกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่นี้เป็นที่กำบังจากภัยต่างๆ บ้างก็สร้างรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่นี้ หลายครั้งที่พวกเราก็แกล้งมัน พอพวกเราส่งเสียงดัง หรือขว้างปาวัตถุเข้าไปใส่ต้นไม้ ฝูงนกก็แตกฮือบินหนีไปคนละทิศคนละทางด้วยความตกใจ แต่พวกเรากลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางครั้งเราก็ปีนต้นไม้เพื่อที่จะไปให้ถึงรังของนก เราอยากจะเห็นบ้านที่อยู่ของนก อยากจะเห็นไข่ หรือลูกเล็กๆ ของมัน ในขณะที่เราใกล้จะถึง เราจะได้ยินเสียงพ่อ แม่ของลูกนกส่งเสียงร้องอย่างดัง ราวกับจะบอกให้เรารู้ว่า อย่าเข้าใกล้หรือทำอันตรายสิ่งที่เขารักและห่วงแหนมากที่สุด

ในทุ่งนาที่เราเดินหรือบางครั้งก็วิ่งผ่าน เราก็จะเห็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลากหลายชนิด เช่น หนู มด บางครั้งเราก็เห็น คราบของงู เรามองเห็นการทำงานของมด เห็นการหาอาหารของบรรดาแมลงต่าง ๆ เห็นผีเสื้อ แมลงตัวเล็ก และ ผึ้ง ที่มาดอมดมน้ำหวานในดอกไม้ บางครั้งเราก็ไปเด็ดดอกไม้เหล่านั้น เพื่อเปิดหาน้ำหวานในดอกไม้นั้น พวกเราก็พบว่า ในดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เราเด็ดมามีน้ำหวานอยู่จริง พวกเราสนุกสนานกับการได้ลิ้มรสความหวานของน้ำใสๆ ในดอกไม้นั้น ตัวผมเองไม่เคยสงสัย แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย เวลาคุณครูวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนอธิบายถึงส่วนประกอบของดอกไม้ หรือการขยายพันธุ์ของต้นไม้ หรือในข้อสอบที่ถามถึงรั้วกินได้ และประโยชน์หรือลักษณะการใช้งานของเครื่องมือที่ใช้ในการทำสวนครัว ผมได้เรียนแล้วผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้ากับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

เวลาที่ผมวิ่งไปหาพ่อแม่ ที่เกี่ยวข้าวอยู่กลางทุ่ง พ่อก็จะใช้เคียวที่พ่อใช้เกี่ยวข้าว ตัดต้นข้าว แล้วทำเป็นปี่ผมเป่าเล่น พวกเราเด็ก ๆ ก็เป่าให้มีเสียงดังต่างๆ กันเป็นที่สนุกสนาน ผมไห้พ่อเจาะรูเพิ่มเพื่อให้ปี่ต้นข้าวของผมทำได้มากกว่าหนึ่งเสียง และแกล้งทำเป็นว่าเรากำลังบรรเลงดนตรีที่แสนไพเราะ ด้วยเครื่องดนตรีสากลที่เรียกว่า คาริเน็ต เราได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย เราได้พัฒนาส่วนต่างๆ ของร่างกาย พัฒนาจิตใจ อารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เรียนรู้วัฒนธรรมของบุคคลและสังคม ได้สื่อสารโดยกระบวนการของภาษา โดยที่ไม่มีทฤษฎีการเรียนรู้ได ๆ มาบอกเรา หรือบอกพ่อแม่ของเราเลย

สิ่งแวดล้อมธรรมชาติให้ประโยชน์อย่างไรกับพัฒนาการของเด็ก




"เมื่อพิจารณาถึงผลระยะยาวที่มีต่อเด็ก ทางด้านสุขภาพทางอารมณ์ที่ดี
สุขภาพกายที่ดี ความสามารถในการเรียน และความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมแล้ว

เราไม่ควรที่จะให้เด็กใช้เวลาส่วนมากอยู่แต่ในห้องเรียนหรือในบ้าน
เด็กจะมีพัฒนาการในทุก ๆ ด้านเพียงขอให้เราสนับสนุนให้เด็กได้มีเวลาให้กับธรรมชาติ
(Green Hours) ให้มากในแต่ละวัน (Washington Post, June, 2007)"

นักการศึกษาและนักวิจัยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเด็ก และพัฒนาการของเด็กได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับสื่อที่อยู่ล้อมรอบตัวเด็ก อันได้แก่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม Stephen Kellert, 2005 in Children&Nature Network, 2008) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Yale ได้กล่าวว่า การที่สภาพแวดล้อมของบ้านที่เป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ จะส่งผลที่ดีกับเด็กในการพัฒนาสมอง ความคิด รวมถึง การพัฒนาศักยภาพในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล ซึ่งเป็นการพัฒนาการของสมองขั้นสูง นอกจากนี้ ในบทความเดียวกัน ยังเพิ่มเติมถึงประโยชน์ของการที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติอีกด้วยว่า เด็กๆ จะมีร่างกายที่สมบูรณ์ และกระตือรือร้น ไม่เป็นโรคอ้วน ซึ่งจะมีโอกาสเสี่ยงสูงในการเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง

ในส่วนของการจัดการศึกษา รูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก วิธี การสอนแบบเก่าที่เรียกว่า Chalk – and – Talk ได้ถูกลืมเลือนไปในภาคส่วนการศึกษา ครูในยุคปัจจุบัน ได้รับการเสริมสร้างให้มีความรู้ในเรื่องสื่อนวัตกรรมการสอนที่ส่งผลโดยตรงให้ กระบวนการเรียนการสอนมีความน่าสนใจ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ( Singh, 2007) แต่เมื่อพูดถึงสื่อนวัตกรรมการสอน คนโดยทั่วไปมักเข้าใจว่า หมายถึง เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (Information Communication Technologies (ICT)) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในประเทศที่ได้รับการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนา กลับมาให้ความสนใจในนวัตกรรมการเรียนการสอนที่มีต้นทุนต่ำ (Low-Cost Teaching Aids) หรือไม่ต้องลงทุนและหาได้ในท้องถิ่น สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอนเหล่านี้ ผลิตได้อย่างง่ายๆ จากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น หรือ หยิบใช้ได้โดยตรงจากธรรมชาติรอบๆ ตัว และยังทำให้เป็นโรงเรียนที่พึ่งตนเองได้ ลดค่าใช้จ่ายทางด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียน การเลือกสรร การให้ความสนใจกับชุมชนและการนำธรรมชาติไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียน จะทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีความหลากหลาย ความน่าสนใจ และเกิดผลประโยชน์สูงสุดกับโรงเรียนในท้องถิ่นนั้นๆ 

"ต้นกล้วยน้ำหว้าต้นหนึ่ง ไม่ใช่ให้เพียงผลกล้วยที่มีคุณค่าทางโภชนาการกับทุกคนเท่านั้น
การเกิด เจริญเติบโต ให้ผล และตายไปของต้นกล้วยต้นหนึ่ง
ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วงจรชีวิตของมัน เด็กได้พัฒนาทักษะการสังเกต
เรียนรู้การเปลี่ยนแปลง จดบันทึก เรียนรู้ที่จะรักธรรมชาติ
เด็กบางคนนำก้านกล้วยมาประดิษฐ์เป็นม้าก้านกล้วย วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เรือใบที่ได้รับการสร้างสรรค์จากกาบกล้วย ถึงแม้จะดูไม่มีมาตรฐานนัก
แต่ก็ให้ความสุขในจิตใจของเด็กๆ เหล่านั้น
ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์และจิตใจ ได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กับร่างกาย
โดยที่ตัวเด็กๆ เอง อาจจะไม่ได้คิดถึงสิ่งดีๆเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองด้วยซ้ำไป"

ธรรมชาติล้อมรอบตัวเด็กนั้น จัดได้ว่าเป็นการขยายห้องเรียนให้กับนักเรียนของเรา นักเรียนจะได้มีโอกาสเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสในทุกๆ ด้าน และครอบคลุมทุกๆ แขนงของหลักสูตร ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเด็ก ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนเป็นบทเรียนและแบบฝึกหัดที่มีประโยชน์โดยตรงต่อทั้งตัวเด็ก และครูผู้สอน (http://www.workingwithwildlife.co.uk/learning/default.asp) เด็กนักเรียนในระดับปฐมวัยสามารถใช้เวลานอกห้องเรียนในการเรียนรู้ธรรมชาติในโรงเรียนและชุมชน ได้ถึง ๑ ใน ๔ ของเวลาที่ต้องใช้ที่โรงเรียน นอกจากนักเรียนจะได้ความรู้จากหลากหลายกิจกรรมที่ครูสามารถให้นักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมแล้ว กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีความรู้สึกรัก รับผิดชอบและเป็นเจ้าของธรรมชาตินั้นๆ เป็นการพัฒนาในระดับปัจเจกบุคคล ที่มีผลต่อการพัฒนาในระดับชุมชน ระดับชาติ และระดับโลก ต่อไป และยังส่งผลในเรื่องสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชนอีกด้วย เด็กได้พัฒนาและเรียนรู้ทักษะเพื่อการดำรงชีพของตนเองไปตลอดชีวิต (Life-Long Skills) เช่น การปลูกและทำนุบำรุงรักษาต้นไม้ การปลูกดอกไม้ ผัก และผลไม้ต่าง ๆ เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม ใช้ภาษาที่เหมาะสมในการสื่อสารกับสมาชิกในกลุ่ม พัฒนาความเชื่อมั่น และความศรัทธาในตนเอง

จากการวิจัยพบว่า เมื่อเด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมกับการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของบ้าน โรงเรียน หรือชุมชน งานสร้างสรรค์ของเด็กจะแตกต่างจากงานของผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในความเป็นมืออาชีพ แต่เด็กจะได้รับการพัฒนาในด้านจินตนาการ และการมีส่วนร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสอดคล้องกับพัฒนาการของตัวเขา (White & Vicki, online) ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจทั่วประเทศในประเทศHolland พบว่า คนที่อยู่ในบริเวณหรือห่างจากพื้นที่สีเขียว ประมาณ ๑ ถึง ๓ กิโลเมตร มีสุขภาพที่ดีกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณดังกล่าว (Haas et al., 2006 in Children&Nature Network, online) ต้นไม้และธรรมชาติสีเขียวมีผลในการลดความเครียดของกลุ่มเด็กที่มีความเครียดสูง และผลดีที่สุดจะมีความสัมพันธ์กับจำนวนพืชสีเขียว พื้นที่สีเขียว และการได้เล่นกับธรรมชาติ ประสบการณ์ที่เด็กๆ ได้ลงมือปฏิบัติจากการได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมจะหล่อหลอมสติปัญญาและทักษะ ที่เป็นที่ยอมรับในหลักการของการจัดการศึกษาปฐมวัยที่ว่า เด็กจะเรียนได้ดีที่สุดโดยผ่านกระบวนการเล่นและการค้นพบอย่างเสรี (Hughes, 1991) การเล่นอย่างเสรีกับธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์และน่าดึงดูดใจสำหรับเด็ก เด็กเกิดจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น การเล่นที่มีคุณภาพนั้นจะพัฒนาเด็กในทุกๆ ด้าน ทั้งร่างกาย การรับความรู้สึก อารมณ์ สติปัญญา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Haas, 1996) 


เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ๆ ในทุกวันนี้


ในอดีตเด็กๆ เคยได้รับความสุขสนุกสนานกับการที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และสัมผัสกับธรรมชาติมากกว่าในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินบนทางเดินเท้า ถนนหนทาง พื้นที่ว่าง สวนสาธารณะ ทุ่งนา ป่าเขา ลำธาร พวกเขาเคยได้สำรวจ เคยเล่น และสัมผัสกับโลกธรรมชาติ โดยปราศจากข้อห้ามหรือการตรวจสอบใดๆ หรือจะมีบ้างก็เพียงเล็กน้อย แต่เด็กๆ ในปัจจุบัน แทบจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย โดยเฉพาะเด็กๆ ในชุมชนเมือง การเล่นกับธรรมชาติอย่างเสรี จะมีแต่ข้อห้าม หรือมีโอกาสก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอบเขตการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจถูกจำกัดและลดลง (Francis, 1991) จากงานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่า จากผู้ปกครองที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ ๙๔ กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยเป็นประเด็นสำคัญในการที่จะอนุญาตให้เด็ก ๆ ออกเล่นนอกบ้านได้อย่างเสรี (Bagley, Ball and Salmon, 2006 in Children&Nature Network, 2008) เช่นเดียวกันกับนักวิจัย ของมหาวิทยาลัย Hofstra ที่สอบถามคุณแม่ จำนวน ๘๐๐ คน ร้อยละ ๘๒ ไม่อนุญาตให้ลูกๆ เล่นนอกบ้านเนื่องจากความกังวลเรื่องอาชญากรรม และ ความปลอดภัย (Clements, 2004 in Children&Nature Network, 2008) 

เด็กเล่นน้ำตามลำคลองอย่างสนุกสนาน เรียนรู้ที่จะว่ายน้ำเพื่อการเอาตัวรอด ว่ายน้ำเป็นโดยที่ไม่ต้องเสียสตางค์ไปเรียนที่โรงเรียนสอนว่ายน้ำ เด็กหลายคนในทุกวันนี้ว่ายน้ำไม่เป็น หลายคนไม่เคยเห็นทะเล หลายคนไม่เคยขึ้นภูเขา ไม่รู้ว่าหน่อไม้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนกลัวป่า กลัวต้นไม้ หลายคนเดินได้เพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็เหนื่อยมากจนไม่สามารถเดินต่อไปได้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเหล่านี้ Hofstra University ได้สำรวจคุณแม่ ๘๐๐ คน ที่มีลูกอายุระหว่าง ๓ ถึง ๑๒ ปี พบว่า คุณแม่ร้อยละ ๘๕ ยอมรับว่าเด็กเล่นนอกบ้านน้อยลงกว่าแต่ก่อน และคุณแม่ร้อยละ ๗๐ เล่นนอกบ้านทุกวันเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่เพียงร้อยละ ๓๑ ของเด็กในปัจจุบันเท่านั้นที่เล่นนอกบ้านอยู่เป็นประจำ (Clements, 2004 in Children&Nature Network) ความไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กเมื่อถูกปล่อยอยู่ตามลำพังเพื่อการเล่นกับธรรมชาติอย่างเสรี ความที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดหรือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพ่อแม่ และการเพิ่มขึ้นของสื่อเทคโนโลยี เช่น การดูโทรทัศน์และการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ มีส่วนทำให้การเล่นกับธรรมชาติของเด็กลดลงหรือหายไป เช่น เด็กอายุ ๘ ขวบกลุ่มหนึ่งสามารถบอกลักษณะของ Pokemon ได้มากกว่าพันธุ์ของสัตว์ป่าถึง ร้อยละ ๒๕ (Balmfold, Clegg, Coulson and Taylor, 2002 in Children&Nature Network, 2008) จากการสำรวจของ Kaiser Family Foundation ในปี ค.ศ. ๒๐๐๕ ถึง ๒๐๐๖ พบว่า เด็กอายุระหว่าง ๖ เดือนถึง ๖ ปี ใช้เวลากับสื่อทางอีเลกโทรนิค เฉลี่ยวันละ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที ในขณะที่เด็กอายุระหว่าง ๘ ปี ถึง ๑๘ ใช้เวลาในเรื่องเดียวกันนี้ถึงเฉลี่ยวันละ ๖ ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งมากกว่า ๔๕ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (Children&Nature Network, 2008 online) 

เหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการที่ดีของเด็ก ทั้งเรื่องสุขภาพกายและจิตใจที่แย่ลง พัฒนาการด้านอื่นๆ ก็ไม่ได้รับการพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของเด็ก เรากำลังจะปลูกไม้พันธุ์ใหญ่ลงในกระถางที่มีขอบเขตจำกัด ซึ่งผลที่ได้มาก็อาจจะดูสวยและ แปลกตา อาจเป็นที่นิยม นั่นก็เพราะ มันเป็นเพียงต้นไม้


เราจะช่วยเด็กกันได้อย่างไร


เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กในทุก ๆ ด้าน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เราก็ควรที่จะดำเนินการใดๆ ที่ จะก่อให้เกิดผลดังกล่าว ในต่างประเทศ มีองค์กรเครือข่ายที่ใช้ชื่อว่า The Children & Nature Network (C&NN) ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการเป็นสื่อกลางระหว่างเด็กกับธรรมชาติ ให้ข้อมูล ข่าวสารและรายงานผลการวิจัย เพื่อกระตุ้นและสนับสนุน พร้อมทั้งเป็นเครือข่าย ให้ประชาชนและองค์กรต่างๆ พัฒนากิจกรรมให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ นอกจากนั้น ยังได้ทำงานร่วมกับนักวิจัย นักการศึกษา และองค์กรอื่นๆ ที่อุทิศตนเพื่อให้เด็กมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

C&NN ได้ริเริ่มโครงการระดับชาติที่มีชื่อว่า "Leave No Child Inside" ที่มุ่งเน้นให้ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนและผู้ปกครองได้ตระหนักและใช้ธรรมชาติเป็นสื่อให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง สื่อธรรมชาติเหล่านี้หาได้ในทุกๆ พื้นที่ ไม่ต้องลงทุน สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และมีให้ได้ใช้ในทุก ๆ โอกาส ทุกโรงเรียนควรจัดให้มีธรรมชาติในบริเวณโรงเรียน หรืออาศัยธรรมชาติจากชุมชน การจัดธรรมชาติควรให้เด็กได้มีส่วนร่วม ให้เด็กได้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ได้ลงมือปฏิบัติจริง เปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับธรรมชาติอย่างเสรีมากขึ้น ภายใต้ สถานการณ์ที่ปลอดภัย

วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันล้วนมีผลกระทบต่อเด็กๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านจิตใจ อิทธิพลของสื่อเทคโนโลยีที่ยากแก่การควบคุม อันมีผลมาจากการแข่งขัน ความต้องการให้เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน และผลกำไรที่จะตามมา สื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์ มีอยู่และหาได้ในแทบจะทุกครัวเรือน พ่อแม่ของเด็กหลายต่อหลายคนได้ใช้สื่อนี้เป็นพี่เลี้ยงและสอนลูกของตนเองอยู่วันละเป็นเวลานานๆ การเพิ่มขึ้นของการบ้านที่เด็กได้มาจากโรงเรียน ความไม่ปลอดภัยของชีวิตภายนอกบ้าน และการดำเนินชีวิตของคนบางตนได้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการเด็กอันเป็นผลเนื่องมาจากการได้สัมผัสธรรมชาติ อย่างไรก็ตามหากเราหาทางป้องกัน และเปิดช่องทางธรรมชาติให้กว้างขึ้น เพื่อที่เด็กๆ จะได้เดินไปสัมผัสได้ง่ายและสะดวกขึ้น จะช่วยให้ธรรมชาติเป็นสื่อที่จะพัฒนาเด็กให้มีความรู้ มีจิตใจอ่อนโยน ก่อให้เกิดความรักในธรรมชาติ รักชุมชน ได้เรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะ กระบวนการทางความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไป



References

Children&Nature Network. (2008). Children and Nature. Retrieved December 28, 2008 from http://www.childrenandnature.org/uploads/CNmovement.pdf

Francis, M. (1991). Children of nature. U.C. David Magazine, v 9 n 6

Haas, M. (1996). Children in the junkyard. Children Education, v 72 n 6.

Hirsh-Pasek, K. & Golinkoff, R. M. (2003). How our children learn and why they need to play more and memorize less. Retrieved December 27, 2008 from http://www.buzzle.com/editorials/10-4-2003-46152.asp

Hughes, F. P. (1991). Children play and development. Massachusetts, Allyn & Bacon. Learning through nature. Retrieved December 29, 2008 from http://www.workingwithwildlife.co.uk/learning/default.asp

Singh, H. P. (2007). Low cost teaching aids for rural schools in India. Retrieved December 30, 2008 fromhttp://knol.google.com/k/hareshwar-singh/low-cost- teaching-aids-for-riral/s

White, R. & Vicki, S. Children's outdoor play & learning environments: Returning to nature. Retrieved December 30, 2008 fromhttp://www.whitehutchinson.com/children/articles/outdoor.html 


แหล่งอ้างอิง นำมาจากเว็บ http://www.la-orutis.dusit.ac.th/research6.php